ตอนที่ 3
เทคนิคการเขียนบทละคร
เทคนิคการเขียนบทละคร
การสร้างบทละครนั้นเป็นความสามารถที่ต้องอาศัยทักษะและความคิดสร้างสรรค์ค่อนข้างมาก
แต่บุคคลหลายคนก็สามารถจะเขียนบทละครได้ แม้แต่ตัวผู้เรียนเอง
หรือศิลปินในท้องถิ่นก็สามารถสร้างบทละครที่มีคุณภาพโดยสะท้อนความคิด ศิลปะ
และวิถีชีวิตของท้องถิ่นได้เช่นกัน ละครจึงเป็นกิจกรรมที่ไม่มีกฎเกณฑ์เฉพาะตายตัว
อาทิ ดนตรีประกอบการแสดง อาจเป็นดนตรีพื้นบ้านเพียงชิ้นเดียว เช่น ขลุ่ย แคน
หรือเพลงที่ผู้เขียนชอบนำมาประกอบการเล่าเรื่องก็ได้
ละครจึงเปิดโอกาสให้ผู้คนได้ทำงานร่วมกัน สามารถทดลองค้นคว้าหาเรื่องราวที่น่าสนใจมานำเสนอต่อผู้ชมอยู่ใหม่
ๆ ได้เสมอ
รูปแบบในการสร้างบทละคร
การสร้างบทละครมีวิธีการสร้างเรื่องดำเนินเรื่องหลายหลายรูปแบบ ดังนี้
1. บทละครที่เป็นแบบฉบับ (Tradition Play) จะใช้แสดงในโรงละคร
เรื่องราวที่นำเสนอมาจากวรรณกรรม นิทานพื้นบ้าน ถ้าเป็นวรรณกรรมเรื่องยาว เช่น
รามเกียรติ์ อิเหนา พระลอ ผู้ประพันธ์บทก็ต้องเลือกตอนที่น่าสนใจมาเสนอ
จากนั้นเปิดเรื่องด้วยฉากที่นำเสนอตามแบบฉบับคือภาพหรือเหตุการณ์
สถานการณ์ของเรื่อง แนะนำตัวละครที่เป็นตัวเอกพร้อมทั้งข้อมูลที่จะนำไปสู่ความเข้าใจพฤติกรรมต่อ
ๆ มาอย่างรวบรัดชัดเจน โดยพิจารณาจากสิ่งต่าง ๆ ดังนี้
- เหตุการณ์นั้นมีความสัมพันธ์ต่อเหตุการณ์อื่น
ๆ ของเรื่องหรือไม่
- เหตุการณ์นั้นมีคุณค่า
มีความจำเป็นและสัมพันธ์กับละครทั้งเรื่องอย่างไร
- เหตุการณ์ดังกล่าวเสริมสร้าง
เน้นจุดมุ่งหมาย ประโยคหลักของเรื่องเช่นใด
- เหตุการณ์ดังกล่าวก่อให้เกิดแรงกระตุ้น
ความสะเทือนใจต่อตัวละครเพียงใด
- เหตุการณ์นั้นก่อให้เกิดปฏิกิริยาการค้นพบ
อุปนิสัยและการกระทำของตัวละครอย่างไร
เมื่อแยกแยะเหตุการณ์ต่าง ๆ แล้ว
ผู้เขียนบทก็จะต้องสามารถสร้างบรรยากาศ อารมณ์ของเรื่อง
ให้ความสำคัญต่อเหตุการณ์
และหาผลลัพธ์ของเหตุการณ์ที่มีต่อผู้ชมว่า
ควรดำเนินเรื่องอย่างไรจึงจะน่าติดตามหรือทำให้ผู้ชมเกิดอารมณ์ความรู้สึกร่วม
มีความประทับใจในการแสดง เสมือนหนึ่งว่าได้เข้าไปมีส่วนร่วมในเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นจริง
ๆ
2. บทละครที่ไม่เป็นแบบฉบับ
(Non Illusion Style) ผู้เขียนบทละครควรเน้นที่การเล่าเรื่อง
(Story Theatre) จินตนาการ (Imagination) การเริ่มเรื่องจะเป็นการเล่าเรื่องโดยใช้ลีลาท่าทางประกอบดนตรี
การขับร้องเพื่อให้ผู้ชมทราบกติกาการนำเสนอ
ต่อจากนั้นก็ใช้วิธีประสานเรื่องราวต่าง ๆ เข้าด้วยกัน
เพื่อทำให้แนวคิดของเรื่องมีคุณค่าให้ประโยชน์แก่ผู้ชม
การเขียนบทประเภทนี้จึงเน้นที่บรรยากาศ รูปแบบการนำเสนอ การเรียบเรียงเรื่องราว
กฎเกณฑ์ในการเข้าสู่เรื่องและออกจากเรื่องเมื่อเรื่องหนึ่งจบลง
3. บทละครที่เด็กมีส่วนร่วมแสดง
(Partiicipatory Theatre) การเขียนบทประเภทนี้จะต้องเปิดโอกาสให้เด็กมีส่วนร่วมในการแสดง
เช่น ได้เป็นส่วนหนึ่งของตัวละครที่คอยช่วยเหลือตัวละครในเรื่อง ช่วยเป็นฉาก
ถืออุปกรณ์ประกอบฉาก ผู้ชมจะนั่งดูล้อมเป็นวง
ทำให้ละครกลับเป็นประสบการณ์ตรงที่เด็ก ๆ ได้รับ
ผู้ชมจะเชื่อบทบาทและปฏิบัติตามที่ตัวละครสั่ง
4. บทละครเพื่อการศึกษา
(TIE ย่อมาจาก Theatre In Education) เป็นละครเพื่อการพัฒนาการเรียนรู้
มีจุดมุ่งหมายเพื่อพัฒนาความคิดของเยาวชนในโรงเรียน
ก่อให้เกิดความคิดเชิงวิจารณ์นำไปสู่การพูดคุย การเขียนบทจะแบ่งออกเป็นฉาก ๆ
แล้วใส่โครงเรื่องตัวละครประมาณ ๕-๖ คนลงไป
ประเด็นที่นำเสนอมักเป็นปัญหาการขัดแย้ง เปิดโอกาสให้ผู้ชมร่วมแสดงความคิดเห็น
ความรู้สึกที่มีต่อสถานการณ์จริงและสถานการณ์ที่เกิดขึ้นในละคร
5. บทละครจากการรวบรวมข้อมูลและเทคนิคละครสด (Collective
Improvisation Theatre) การจะได้บทละครจากการแสดงละครสดนั้น
จะต้องสนใจการทำงาน
1.คายความเครียดหรือบางครั้งก็กระตุ้นอารมณ์ให้เกิดความรู้สึกตื่นเต้น
ทำให้มนุษย์มีความสุข กระตือรือร้นในการดำเนินชีวิต
2. สมอง ให้คุณค่าทางสติปัญญา โดยการดูละครแล้วกลับมาพิจารณาปัญหาต่าง ๆ
เกี่ยวกับตนเอง เกี่ยวกับมนุษยชาติและเกี่ยวกับสังคมส่วนรวม
3. จิตใจ
ความสัมพันธ์ของศิลปะการละครกับจิตใจของมนุษย์มีมาแต่โบราณ
จะเห็นได้ว่าการละครตะวันออกและตะวันตก
ล้วนถือกำเนิดจากพิธีบวงสรวงเทพเจ้าเพื่อขอพระ และให้เทพเจ้าบันดาลสิ่งต่าง ๆ
ที่มนุษย์ปรารถนา
หรือถ้าจะให้ชัดเจนยิ่งขึ้น
ก็พิจารณาได้จากละครเวที ทั้งนี้เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นในละครเวที
มีลักษณะเหมือนชีวิตจริง ๆ ของมนุษย์ คือเหตุการณ์เกิดขึ้นมาแล้วก็ผ่านเลยไป
ผู้ชมไม่สามารถหยุดพักเหมือนการอ่านหนังสือหรือดูโทรทัศน์ เช่น เมื่อรู้สึกเบื่อก็สามารถปิดหนังสือโทรทัศน์ได้
แต่ผู้ชมละครจะต้องนั่งอยู่ในโรงละคร เพื่อร่วมรู้เห็นการกระทำ (Action)
ของตัวละครจนจบเรื่อง
จะให้ละครหยุดพักการแสดงเมื่อเราไม่อยากชมและถ้าจะชมต่อ
ก็จะให้เริ่มแสดงตรงช่วงนั้น ๆ ต่อเนื่องไปย่อมไม่สามารถจะกระทำได้ เพราะละครแม้จะเป็นผู้แสดงชุดเดียว
บทเดียวกัน แต่ต่างช่วงเวลา การแสดงย่อมจะไม่เหมือนกันเสียทีเดียวทั้งหมด
ละครเวทีจึงมีลักษณะเหมือนประสบการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิตจริง ๆ
ดังนั้น
จึงกล่าวได้ว่าละครสามารถให้ได้ทั้งความบันเทิง กระตุ้นเร้าความคิด ให้การศึกษา
ให้ความสนุกสนานเพลิดเพลิน สอนบทเรียน
ให้ความฝันที่คนดูปรารถนาและเป็นเสมือนโลกที่งดงาม
ให้ผู้คนหลีกหนีจากชีวิตที่สับสน
ได้มาพักสมองผ่อนคลายความเครียดได้ชั่วขณะหนึ่งของนักแสดงตามหัวข้อที่มอบหมายให้แสดง
และนำข้อมูลเรื่องราวกลับมาสู่กลุ่มผู้แสดงละครเพื่อสร้างตัวละครและเหตุการณ์ต่าง
ๆ ตามแผนงานที่กำหนด ตัวละครและเหตุการณ์ต่าง ๆ
ต้องพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงและค้นหาจุดเปลี่ยนจากบทบาทหนึ่งไปสู่อีกบทบาทหนึ่ง
อารมณ์ ความรู้สึกของนักแสดงและของตัวละครที่ต่อเนื่องถ่ายทอดกันได้ดี
จะทำให้ตัวละครน่าสนใจและมีชีวิตชีวาน่าเชื่อมากขึ้น
(ขอขอบคุณข้อมูลจาก: https://www.gotoknow.org/posts/292945)